กวมและหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา

พายุไต้ฝุ่นชบายังทำให้เกิดคลื่นลมแรง ในเกาะไซปันมีคลื่นขนาดใหญ่ทำให้มีผู้เสียชีวิตและทำให้คนอื่นต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล การเข้าใกล้ของไต้ฝุ่นชบาซึ่งเคลื่อนผ่านหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาในช่วงสองวันต่อมา[1]กวมมีรายงานน้ำท่วมชายฝั่งสูงถึง 6 ฟุต แต่ไม่ทำให้เกิดความเสียหายอย่างมีนัยสำคัญ และมีเพียงน้ำท่วมเล็กน้อยเท่านั้นที่เกิดจากฝนตกหนัก ไม่มีรายงานความเสียหายรุนแรงจากลมแรง ในเกาะโรตามีความเสียหายมากมาย โดยบ้านเรือนกว่า 50 หลังถูกทำลายโดยสิ้นเชิง และอีกกว่า 175 หลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก เสาไฟฟ้าและสายไฟจำนวนมากถูกพังทลาย ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั่วทั้งเกาะ พืชพรรณ ต้นไม้ และพืชผลได้รับความเสียหายอย่างหนักเช่นกัน น้ำท่วมชายฝั่ง 8 ถึง 11 ฟุตส่งผลให้เกิดการกัดเซาะชายหาดอย่างหนัก ไม่มีผู้เสียชีวิต และรายงานผู้บาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เกาะไซปันได้รายงานว่าน้ำท่วมชายฝั่งที่ 6 ถึง 8 ฟุต ส่งผลให้ชายหาดกัดเซาะปานกลาง บ้านเรือนประมาณ 270 หลังถูกทำลายบนเกาะทั้งสองเกาะ โดยมากกว่า 700 หลังได้รับความเสียหายอย่างหนัก ต้นไม้ล้มเสียหายหลายคันบนเกาะไซปัน สายไฟหลายสายถูกตัด ส่งผลให้ไฟฟ้าดับทั่วทั้งเกาะที่หมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา บริการโทรศัพท์ก็ถูกระงับเช่นกัน พืชผลได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก มีคนได้รับบาดเจ็บและค่าใช้จ่ายความเสียหายมีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนา[2]หลังจากที่พายุไต้ฝุ่นชบาเริ่มเคลื่อนตัวออกจากกวม คนสี่คนถูกคลื่นซัดเข้าฝั่งโดยกระแสน้ำที่รุนแรงซึ่งเกิดจากพายุไต้ฝุ่นที่กำลังเคลื่อนตัว สามคนได้รับการช่วยเหลือและนำส่งโรงพยาบาลรักษาอาการบาดเจ็บ แต่ไม่พบอีกคนหนึ่ง[3]

หลังจากพายุไต้ฝุ่นชบาผ่านไป ผู้ว่าการเฟลิกซ์ เปเรซ กามาโช ได้ประกาศภาวะฉุกเฉินสำหรับกวม โดยจัดสรรเงินจำนวน 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ เป็นกองทุนเพื่อการป้องกันภัยพลเรือนในภาวะฉุกเฉิน ความปลอดภัยสาธารณะ และค่ารักษาพยาบาล สำนักงานบริหารหลายแห่ง รวมถึงสำนักงานกวมและกระทรวงกลาโหมและกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้รับมอบหมายให้ประเมินความเสียหายและช่วยเหลือในการดำเนินการซ่อมแซมในทำนองเดียวกัน ผู้ว่าการฮวน บาเบาตา ในหมู่เกาะนอร์เทิร์นมาเรียนาขอให้ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ในประเทศสหรัฐอเมริกาประกาศให้เครือจักรภพเป็นพื้นที่ภัยพิบัติเพื่อรับความช่วยเหลือจากภัยพิบัติของรัฐบาลกลางขอทุนนี้ได้รับในหกวันต่อมา

ประเทศญี่ปุ่น

พายุไต้ฝุ่นชบาเป็นพายุที่ทำลายล้างสูงและมีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับประเทศญี่ปุ่น ทั่วประเทศ มีผู้เสียชีวิต 18 รายบาดเจ็บ 285 ราย ในจำนวนนี้ 45 รายมีอาการรุนแรงและ 243 รายอยู่ในระดับเล็กน้อย นอกจากผู้เสียชีวิตแล้ว ยังได้รับความเสียหาย 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกด้วย ผลการชำระค่าประกันความเสียหายมีมูลค่า 1.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ บ้านเรือนเสียหายทั้งหมด 8,627 หลัง และอย่างน้อย 46,581 หลังถูกน้ำท่วม ค่าความเสียหายที่ทำให้ชบาเป็นพายุไต้ฝุ่นที่ส่งผลกระทบต่อญี่ปุ่นมากที่สุดในปี พ.ศ. 2547 พายุไต้ฝุ่นชบายังคงเป็นพายุไต้ฝุ่นที่ทำลายล้างมากสุดอันดับที่ 14 ในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น

เกาะคีวชู

ลมแรงที่เกิดจากพายุไต้ฝุ่นชบาทำลายพืชไร่อ้อยในคิตะไดโทจิมะ ส่งผลให้เกิดความเสียหาย 39.2 เยน (360,000 ดอลลาร์สหรัฐ)[4]สามวันต่อมาพายุไต้ฝุ่นชบาผ่านไปใกล้หมู่เกาะอามามิ กิ่งจังหวัดโอชิมะ ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรง อันเป็นผลมาจากผลกระทบเหล่านี้ ไฟฟ้าเริ่มตัดเหลือ 5,800 ครัวเรือน เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกือบ 20,000 ปริมาณน้ำฝนสูงสุดที่ 300 มม. (11.8 นิ้ว) บนเกาะและบ้านเรือน 100 หลังถูกน้ำท่วม ลมแรงพัดหลังคาบ้านและหน้าต่างบานในอาคารอื่นๆ อีกหลายหลัง มีผู้ได้รับบาดเจ็บหนึ่งรายเนื่องจากกระจกที่ปลิว ในทำนองเดียวกันอีกคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บเนื่องจากกระจกแตกในยากูชิมะ

พายุไต้ฝุ่นถล่มพื้นที่ของจังหวัดคาโงชิมะ ทำให้เกิดความสูญเสียอย่างหนักต่อการเกษตรและโครงสร้างพื้นฐาน อาคารหลายหลังได้รับความเสียหาย โดย 1,033 หลังถูกน้ำท่วม[5]บ้านในคาโงชิมะประมาณ 32,300 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้และในวันรุ่งขึ้น ผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นชบาส่งผลให้บ้านเรือนไม่มีไฟฟ้าใช้ 328,000 หลัง ความเสียหายในจังหวัดมีมูลค่า 5.17 พันล้านเยน (47 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และมีผู้เสียชีวิต 2 ราย ผลรวมปริมาณน้ำฝนวัดทั่วประเทศญี่ปุ่นเป็นผลมาจากพายุไต้ฝุ่นชบาที่เกิดขึ้นในบริเวณใกล้เคียงจังหวัดมิยาซากิ ปริมาณน้ำฝนในจังหวัดสูงสุดที่ 821 มม. (32.32 นิ้ว) ในเอบิโนะ สถานีในมิคาโดะสังเกตปริมาณน้ำฝน 61 มม. (2.40 นิ้ว) ในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมง ซึ่งมากกว่าการวัดอื่นๆ ในญี่ปุ่นในช่วงเวลาเดียวกัน[6]ในจังหวัดนั้น บ้าน 1,000 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ ผู้เสียชีวิต 2 คน และบาดเจ็บอีก 27 คน ตัวเลขความเสียหายในมิยาซากิสูงถึง 38.8 พันล้านเยน (353 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ภาคพื้นดินญี่ปุ่นกองทัพป้องกันตัวเองถูกส่งทั้งในจังหวัดมิยาซากิและคาโกชิมาเพื่อช่วยเหลือผลกระทบต่อผู้คนและค้นหาคนที่หายไป ในจังหวัดคุมาโมโตะบ้าน 100 หลังไม่มีไฟฟ้าใช้ ถนนและเส้นทางคมนาคมถูกกีดขวางเนื่องจากฝนตกและดินถล่มจำนวนมาก ความเสียหายที่นั่นสูงถึง 1.9 พันล้านเยน (17.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และแม้ว่าจะไม่มีผู้เสียชีวิต แต่มีผู้บาดเจ็บ 7 ราย[7]พายุคลื่นในจังหวัดฟุกุโอกะทำให้เกิดความเสียหายตามแนวชายฝั่ง และส่งผลให้เกิดน้ำท่วมภายในประเทศบางส่วน[8]แม้ว่าจะตั้งอยู่ติดกับชายฝั่งจังหวัดนางาซากิประสบปัญหาน้ำท่วมปานกลาง โดยมีอาคารไม่กี่หลังที่ถูกน้ำท่วม ความเสียหายทางการเกษตรมีมากขึ้น โดยพื้นที่การเกษตร 5,645 เฮกตาร์ (13,949 เอเคอร์) จมอยู่ใต้น้ำ[9]ผลกระทบที่คล้ายกันเกิดขึ้นในจังหวัดซางะซึ่งความเสียหายมีมูลค่า 2.2 พันล้านเยน (20.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[10]จังหวัดโออิตะประสบความสูญเสียอย่างหนักเนื่องจากถูกทั้งฝนตกหนักและลมกระโชกแรง ส่งผลกระทบต่อทั้งจังหวัด อาคารหลายหลังได้รับความเสียหายด้านหน้าอาคาร รายงานผลกระทบต่อผลผลิตข้าว พืชผัก ผลไม้ ความเสียหายที่เกิดขึ้นในโออิตะมีมูลค่า 3.4 พันล้านเยน (31 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)[11]

พื้นที่อื่นในประเทศญี่ปุ่น

สี่วันต่อมา เรือสินค้าเวียดนามได้วิ่งบนพื้นดินใกล้กับแหลมยูระในจังหวัดเอฮิเมะ ตอนแรกมุ่งหน้าไปยังคูเระ ฮิโรชิมะลูกเรือสี่คนจากทั้งหมด 20 คนของเรือลำนี้ถูกคลื่นซัดและหายตัวไปก่อนเหตุการณ์การลงจอด บ้านเกือบ 400 หลังถูกน้ำท่วมด้วยฝนตกหนัก ผลกระทบจากฝน คลื่นพายุ และลมแรงรวมกัน ทำให้การขนส่งล่าช้าและการยกเลิกหลายครั้ง หน่วยไฟฟ้าทั้งหมด 116,453 หน่วยล้มเหลวในระหว่างทางผ่านของไต้ฝุ่น ความเสียหายรวม 39.6 พันล้านเยน (360 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) มากกว่าจังหวัดอื่นในประเทศญี่ปุ่น[12]บนเกาะฮนชูบ้าน 98,014 หลังประสบปัญหาไฟฟ้าดับระหว่างพายุไต้ฝุ่นชบา